เปรียบเทียบลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติส
ในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรคเอดส์กับผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่น
Comparison Pneumocystis pneumonia between patients with AIDS and patients with
other immunodeficiencies
วรางคณา กีรติชนานนท์ เจษฎา ฤทธิ์ธาทร*
Warangkana Keeratichananont,
Jesada Rittaton*
ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย- สงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110
Department of Internal Medicine, Faculty of Medicine, Prince of Songkla University, Hat Yai, Songkhla, 90110, Thailand
E-mail: tik_rittirak@hotmail.com
Songkla Med J 2010;28(1):43-48
บทคัดย่อ:
วัตถุประสงค์: เพื่อเปรียบเทียบลักษณะทางคลินิก
และผลการรักษาของผู้ป่วยโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติส
ระหว่างกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรค
เอดส์กับกลุ่มที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่น
วิธีการศึกษา:
เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วย
โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น โรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อรา Pneumocystis
jiroveci ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2546 ถึง วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551
ผลการศึกษา: ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติสทั้หมด จำนวน 53 ราย อายุเฉลี่ย 37 ปี (พิสัย 20-58 ปี) ผู้ป่วยชาย 28 ราย หญิง 25 ราย เป็นผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรคเอดส์ 38 ราย และผู้ป่วยที่มีภาวะ ภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่น 15 ราย เพศ อายุ อาการแสดงทางคลินิกและลักษณะของภาพ
รังสีทรวงอกของผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรคเอดส์ และ จากสาเหตุอื่น ไม่ต่างกัน
แต่พบว่าผู้ป่วยภาวะภูมิคุ้มกัน บกพร่องจากสาเหตุอื่นมีการพยากรณ์โรคที่เลวกว่าผู้ป่วย
ภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรคเอดส์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีอัตรการตายร้อยละ 60
และ 28.9 (p=0.036) และ
มีอัตราการเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักร้อยละ 66.7 และ 36.8
(p=0.049) ตามลำดับ
สรุป: ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรคเอดส์และจาก สาเหตุอื่น
มีอาการและอาการแสดงของโรคปอดอักเสบ นิวโมซีสติสไม่ต่างกัน
แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
จากสาเหตุอื่นมีอัตราการตายสูงกว่ากลุ่มผู้ป่วยเอดส์อย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติ
คำสำคัญ: ปอดอักเสบนิวโมซีสติส, นิวโมซีสติส เจโร เวคซี่, เอดส์
รับต้นฉบับวันที่ 24 สิงหาคม 2552 รับลงตีพิมพ์วันที่ 7 ธันวาคม 2552
Abstract:
Objective: To compare the clinical characteristics and outcomes of Pneumocystic carinii pneumonia
(PCP) infection between patients with acquired immunodeficiency syndrome (AIDS)
and patients with other immunodeficiencies.
Materials and methods: The medical records of patients with PCP
infection in Songklanagarind Hospital between 1
January 2003 and 31 August 2008 were reviewed.
Results: Out of fifty-three patients with PCP in- fection,
median age 37 years (range 20-58 years), 28 patients
were male and 25 patients were female. Thirty-eight were human immunodeficiency
virus (HIV)-related patients and 15 were patients with other immunodeficiencies. All patients with other immunodeficiencies group had received corticos-
teroids. There were no statistical differences in
sex, age, clinical presentations and chest roentgenography
between HIV and patients with other immunodeficiencies.
However, mortality and inten- sive
care unit admission rates were higher in patients with other immunodeficiencies (60.0% vs. 28.9%, p=0.036 and 66.7% vs.
36.8%, p=0.049, respectively)
Conclusion: Although the clinical characteristics of PCP infection were
similar between the HIV and patients with other immunodeficiencies,
the mortality rate was higher in the patients with other immunodeficiencies.
Key words: acquired immunodeficiency syndrome, AIDS, pneumocystis pneumonia, Pneumocystis jiroveci
บทนำ
โรคปอดอักเสบนิวโมซีสติส (Pneumocystis pneumonia) เป็นภาวะปอดอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อรา
Pneumocystis jiroveci ซึ่งเป็นเชื้อฉวยโอกาสที่สำคัญ
และก่อโรคได้บ่อยในกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยโรคเอดส์1-3 ปัจจุบันความรู้ความ
เข้าใจในการดูแลผู้ป่วยเอดส์ได้รับการยอมรับและมี มาตรฐานมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการยาต้านไวรัส
(highly active antiretroviral therapy) ร่วมกับการ
ให้ยาป้องกันเชื้อราตั้งแต่แรกเริ่ม (primary prophylaxis) ทำให้อุบัติการณ์ของการเป็นโรคปอดอักเสบนิว-
โมซีสติสมีแนวโน้มลดลงอย่างมาก4-7 ถึงแม้ว่าอุบัติการณ์ของโรคจะลดลง
แต่ก็ยังพบว่า อัตราการตายและภาวะหายใจล้มเหลวและอัตราการใช้
เครื่องช่วยหายใจยังคงสูงคือ ร้อยละ 50-608-11 ในทางตรงกันข้ามพบว่าข้อมูลอุบัติการณ์ของผู้ป่วย
ที่เป็นโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติส ในกลุ่มผู้ป่วยที่มี ภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรคอื่นกลับมีแนวโน้มสูงเพิ่มขึ้น8,1
2-16 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยากลุ่มสเตียรอยด์
และยากดภูมิคุ้มกันต่างๆ จากการศึกษาของ Mansharamani
และคณะ8 พบว่าอัตราการเกิดโรคประมาณ
ร้อยละ 97 เช่นเดียวกับอัตราการเข้ารักษาในโรงพยาบาล
และอัตราการตายที่ยังสูงที่ร้อยละ 97 และ 39 ตามลำดับ ข้อมูลการศึกษาโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติสใน ประเทศไทยยังมีน้อย
การศึกษาของ Saksasithan และ คณะ17
พบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติส
ที่ไม่ได้เป็นโรคเอดส์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยภูมิคุ้มกัน
บกพร่องอันเนื่องจากมีประวัติได้รับยากดภูมิคุ้มกันร้อยละ 95 มีอัตราตายร้อยละ 37 ผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
จะมีอัตราการตายสูงมากขึ้น10,18 การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบลักษณะ
ทางคลินิกและปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดอักเสบ
นิวโมซีสติสระหว่างกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิต้านทาน จากโรคเอดส์กับกลุ่มผู้ป่วยคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุ
อื่นที่ไม่ใช่โรคเอดส์ เพื่อเป็นข้อมูลในการวางแผนการ รักษาเพื่อลดอัตราการเกิดโรค
ความรุนแรงและอัตรา การตายจากโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติสต่อไป วัสดุและวิธีการ
เก็บข้อมูลย้อนหลังในผู้ป่วยอายุมากกว่า 15 ปี ที่ได้รับ การวินิจฉัยว่าเป็นโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติส
โดยการ ตรวจยืนยันผลการวินิจฉัยจากผลชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา
หรือการตรวจน้ำล้างส่องกล้องทางเดินหายใจ (brochoalveolar
lavage) ในโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ในระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2546 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551 เปรียบเทียบความแตกต่างของลักษณะทาง
คลินิกระหว่างผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากภาวะ
โรคเอดส์และที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่น
ผลการศึกษา
มีผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคปอดอักเสบ นิวโมซีสติส 53 ราย ผู้ป่วยมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง จากโรคเอดส์ 38 ราย และมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง จากสาเหตุอื่น 15 ราย
การเปรียบเทียบข้อมูลทั่วไป ระหว่างผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มพบว่า เพศ อายุเฉลี่ย
อาการสำคัญ ระยะเวลาการเกิดโรค (disease onset) และระดับความรุนแรงของการเจ็บป่วยจากภาวะโรค
ปอดอักเสบชนิดนิวโมซิสติส เมื่อเทียบจากค่า Acute Physiology and Chronic
Health Evaluation (APACHE) II score และ alveolar-arterial
oxygen gradient ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
(ตารางที่ 1)
ตารางที่ 1 ลักษณะทั่วไป อาการและอาการแสดงของผู้ป่วยโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติส |
|||
ลักษณะทั่วไป อาการ และอาการแสดง |
ผู้ป่วยโรคเอดส 38 ราย |
ผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่น 15 ราย |
P-value |
อายุเฉลี่ย, ปี (+ SD) |
35.0 (+ 8.5) |
39.0(+19.0) |
0.4 |
ชาย, ราย (ร้อยละ) หญิง, ราย (ร้อยละ) |
22 (57.9) 16 (42.1) |
6(40.0) 9(60.0) |
0.2 |
หอบเหนื่อย, ราย (ร้อยละ) ระยะเวลาที่เริ่มมีอาการจนมาพบแพทย์, วัน (พิสัย) อาการอื่นๆ, (เช่นไข้ ไอ) ราย (ร้อยละ) |
29 (76.3) 12 (2-30) 9 (23.7) |
7(46.7) 8(2-21) 8(53.3) |
0.1 0.4 0.1 |
APACHE II score, เฉลี่ย (พิสัย) A-a gradient, มิลลิเมตรปรอท (พิสัย) |
13 (5-23) 260 (37-651) |
19(12-26) 287(25-632) |
0.7 0.6 |
* ผู้ป่วยทุกรายได้รับยาสเตียรอยด์ร่วมด้วย |
ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรคเอดส์มีระดับค่า CD4 count 1-83 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร เฉลี่ย 25 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร และผู้ป่วยเคยได้รับ การให้ยาป้องกันโรคปอดอักเสบนิวโมซิสติสมาก่อน ร้อยละ 92 ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องจากภาวะอื่นป่วย เป็นโรค systemic lupus erythematosus (SLE) และ nephrotic syndrome 10 ราย (ร้อย 67) hematologic malignancy 4 ราย (ร้อย 33) ผู้ป่วยเปลี่ยนไต 1 ราย ซึ่งผู้ป่วยทุกรายได้รับยาสเตียรอยด์ขนาด 15-100 มิลลิกรัมต่อวันมาก่อน โดยระยะเวลาที่ได้รับ ยายาสเตียรอยด์อยู่ในช่วง 30-150 วัน ผู้ป่วยทั้ง 15 รายไม่ได้รับยาป้องกันโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติส สำหรับลักษณะความผิดปกติของภาพรังสีทรวงอก ในผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มพบว่ามีความคล้ายคลึงกัน โดย ผู้ป่วยภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรคเอดส์และกลุ่ม ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่นมีลักษณะภาพรังสี ทรวงอกเป็นแบบ ground glass หรือ alveolar infiltration ร้อยละ 85 และ 93 ตามลำดับ ผู้ป่วยภาวะภูมิ คุ้มกันบกพร่องจากโรคเอดส์และกลุ่มผู้ป่วยภูมิคุ้มกัน บกพร่องจากสาเหตุอื่นมีพยาธิสภาพในปอดเป็นแบบ กระจายทั่วปอด (diffuse bilateral) ร้อยละ 68 และ 60 ตามลำดับ (ตารางที่ 2)
ตารางที่ 2 ลักษณะและตำแหน่งของความผิดปกติในภาพรังสีทรวงอกของผู้ป่วยโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติส |
||
ลักษณะความผิดปกติ |
ผู้ป่วยโรคเอดส์
38 ราย (ร้อยละ) |
ผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่น
15 ราย (ร้อยละ) |
Ground glass opacity |
22 (57.9) |
9 (60.0) |
Alveolar infiltration |
10 (26.3) |
5 (33.3) |
Interstitial infiltration |
6 (15.8) |
1 (6.7) |
ตำแหน่งความผิดปกติ |
|
|
ทั่วปอด (diffuse) |
26 (68.4) |
9 (60.0) |
ปอดหลายกลีบ (multilobar) |
11 (28.9) |
6 (40.0) |
ปอดกลีบเดียว (focal) |
1 (2.6) |
- |
ระดับความรุนแรงของโรคโดยพิจารณาจากอัตราการเข้า รักษาในหอผู้ป่วยหนัก อัตราการใช้เครื่องช่วยหายใจและอัตราการตายในกลุ่มผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่นมีความรุนแรงของโรคมากกว่ากลุ่มผู้ป่วย ภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรคเอดส์ โดยที่มีอัตราการเข้า รักษาในหอผู้ป่วยหนักและอัตราการตายที่สูงกว่าอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ ร้อยละ 66.7 และ 60.0 ตามลำดับ ส่วนในกลุ่มผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรคเอดส์ร้อยละ 36.8 และ 28.9 ตามลำดับ ส่วนเรื่องอัตราการใช้เครื่องช่วยหายใจก็พบว่าในกลุ่มผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่นก็มีแนวโน้มสูงกว่ากลุ่มผู้ป่วย โรคเอดส์ โดยร้อยละ 80.0 และ 55.3 ตามลำดับ (ตาราง ที่ 3)
ตารางที่ 3 ความรุนแรงของโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติสในผู้ป่วยโรคเอดส์และผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องจาก สาเหตุอื่น |
|||
ลักษณะความรุนแรง |
ผู้ป่วยโรคเอดส 38
ราย |
ผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่น
15 ราย |
P-value |
การเข้ารักษาในหอผู้ป่วยหนัก, ราย (ร้อยละ) |
14 (36.8) |
10 (66.7) |
0.049* |
ระยะเวลาการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก, วัน |
10.0+6.0 |
9.0+1.5 |
0.8 |
การใช้เครื่องช่วยหายใจ, ราย (ร้อยละ) |
21 (55.3) |
12 (80.0) |
0.1 |
การตาย, ราย (ร้อยละ) |
11 (28.9) |
9 (60.0) |
0.036* |
*p-value < 0.05 statistically significant difference |
วิจารณ์
จากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติส
ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากภาวะโรคเอดส์เปรียบเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่นของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์นั้นมีอาการ อาการแสดงออก
และภาพรังสีทรวงอกไม่แตกต่างกันเช่นเดียวกับการศึกษาอื่นๆ8-10,12-17
มีการศึกษาที่พบว่าผู้ป่วยโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติส
ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่น
จะมีระยะเวลาที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการจนนำผู้ป่วยมาพบแพทย์
สั้นและเฉียบพลันกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกัน บกพร่องจากโรคเอดส์8,14,18
แต่จากการศึกษานี้ไม่พบ
ความแตกต่างของระยะเวลาที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการจนนำ ผู้ป่วยมาพบแพทย์
การศึกษานี้อาจมีข้อจำกัดเกี่ยวกับ จำนวนผู้ป่วย
โดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มที่มีภาวะภูมิคุ้มกัน บกพร่องจากสาเหตุอื่น
ซึ่งอาจทำให้ความแตกต่างของ ระยะเวลาดังกล่าวไม่ชัดเจน
สำหรับการพยากรณ์โรคนั้นจากการศึกษานี้พบว่า
ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติสในกลุ่มผู้ป่วยที่มี
ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่น มีการพยากรณ์
โรคและผลการรักษาแย่กว่ากลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกัน บกพร่องจากโรคเอดส์
โดยพิจารณาจากอัตราการ เข้ารักษาในหอผู้ป่วยหนัก อัตราการใช้เครื่องหายใจ
และอัตราตาย คล้ายคลึงกับการศึกษาของ Mansharamani
และคณะ8 และ Monnet และคณะ18 อัตราการตายในผู้ป่วยปอดอักเสบนิวโมซีสติส
ใน ผู้ป่วยกลุ่มที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่นใน การศึกษานี้สูงกว่า
(ร้อยละ 60) การศึกษาอื่น8,10,14,18 ซึ่งมีรายงานอัตราตายร้อยละ 36-48 เมื่อเปรียบเทียบ
กับความรุนแรงของโรคโดยพิจารณาจาก APACHE score พบว่าผู้ป่วยปอดอักเสบนิวโมซีสในการศึกษานี้
ใกล้เคียงกับผู้ป่วยในการศึกษาอื่น18 อย่างไรก็ตามพบว่า
การให้ยารักษาโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติสในการศึกษานี้
ต่างจากการศึกษาในต่างประเทศโดยผู้ป่วยในการศึกษานี้ เกือบทั้งหมดได้รับยา cotrimoxazole ตัวเดียว หรือ cotrimoxazole ร่วมกับยาสเตียรอยด์ในขนาดต่ำ (stress
dose) ในขณะที่ผู้ป่วยในต่างประเทศส่วนใหญ่ได้รับยา cotrimoxazole ร่วมกับยาสเตียรอยด์ขนาดสูง
เพื่อหวังผล ลดการอักเสบของปอดร่วมด้วย8,10,14,18 การศึกษานี้มีผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจาก สาเหตุอื่นไม่มาก
ซึ่งในความเป็นจริงคาดว่าน่าจะมี ผู้ป่วยในกลุ่มนี้มากกว่าที่รายงาน
เนื่องจากมีผู้ป่วย หลายรายที่ได้รับการวินิจฉัยปอดอักเสบนิวโมซีสติสจาก
อาการและภาพรังสีทรวงอกและทำการรักษาทันทีโดย
ไม่ได้รับการตรวจยืนยันด้วยวิธีด้วยการส่องกล้องตรวจ ทางเดินหายใจเพื่อทำ transbronchial lung biopsy หรือ bronchoalveolar lavage แต่การศึกษานี้จำเป็น
ต้องตัดผู้ป่วยกลุ่มนี้ออกจากการศึกษาเนื่องจากไม่มี
ความแน่นอนและแม่นยำในการวินิจฉัยโรค
สรุป
ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบนิวโมซีสติสที่เกิดในกลุ่ม
ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่นนั้น มีอาการ อาการแสดง
และผลตรวจภาพรังสีทรวงอก ไม่แตกต่างกันกับกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
จากโรคเอดส์ แต่มีการพยากรณ์โรคที่เลวกว่าโดยพิจารณา จากอัตราตาย
การเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก และ อัตราการใช้เครื่องช่วยหายใจ
เอกสารอ้างอิง
1. Cailliez JC, Seguy N,
Denis CM, et al. Pneumocystis carinii: an atypical
fungal micro-organism. J Med Vet Mycol 1996;34:227-39.
2. Wannamethee SG, Sirivichayakul
S, Phillips AN, et al. Clinical and immunological features of human
immunodeficiency virus infection in patients from Bangkok, Thailand. Int J Epidemiol 1998;27: 289-95.
3. Lumbiganon P, Kosalaraksa
P, Loapaiboon M. Survival of children with AIDS:
experience in a university hospital in northeast Thailand. J Med Assoc Thai 2000;83:652-6.
4. Centers for disease contol and prevention. [home page on the Internet]. HIV/AIDS surveillance
supplemental report, Inc. 2003[cited 2003]. Available from:
http://www.cdc.gov/hiv/
5. Morris A, Wachter RM, Luce
J, et al. Improve survival with highly active antiretroviral therapy in HIV
infected patients with severe Pneumocystis carinii
pneumonia. AIDS 2003;17:73-80.
6. Barry SM, Johnson MA. Pneumocystis carinii
pneumonia: a review of current issues in diagnosis and management. HIV Med 2001;2:123-32.
7. Phair J, Munoz A, Detels
R. The risk of Pneu- mocystis
carinii pneumonia among men infected with human
immunodeficiency virus type 1. Multicenter AIDS Cohort Study Group. N Engl J Med 1990;322:161-5.
8. Mansharamani NG, Garland R, Delaney D, et al.
Management and outcome patterns for adult Pneumocystis carinii
pneumonia, 1985 to 1995: complication of HIV–associated case to other
immunocompromised states. Chest 2000;118:704-11.
9. Sepkowitz KA. Pneumocystis carinii pneumonia in patients without AIDS. Clin Infect Dis 1993;17 (Suppl 2):S416-22.
10. Sepkowitz KA, Brown AE, Armstrong D. Pneumocystis
carinii pneumonia without acquired immunodeficiency
syndrome: more patients, same risk. Arch Intern Med 1995;155:1125-8.
11. Arend SM, Kroon FP, van’t
Wout JW. Pneumocystis carinii pneumonia in patients without AIDS, 1980 through
1993. An analysis of 78 cases. Arch Intern Med
1995;155:2436-41.
12. Walzer PD, Perl DP, Krogstead
DJ, et al. Pneumocystis carinii pneumonia in United
States. Epidemiologic, diagnostic, and clinical features.
Ann Intern Med 1974;80:83-93.
13. Burke BA, Good RA. Pneumocystis carinii
infection. Medicine 1973;52:23-51.
14. Kovacs JA, Hiemenz JW, Macher
AM, et al. Pneumocystis carinii
pneumonia: a comparison between patients acquired immunodeficiency syndrome and
other immunodeficiencies. Ann Intern Med 1984;100:663-71.
15. Yale SH, Liper AH. Pneumocystis carinii pneumonia in patients without acquired
immunodeficiency syndrome: associated illneses and
prior corticosteroid therapy. Mayo Clin Proc 1996;71:5- 13.
16. Pareja JG, Garland R, Koziel
H. Use of adjunctive corticosteroid in severe adult non-HIV Pneumocystis carinii pneumonia. Chest 1998;113:1215-24.
17. Saksasithan S, Sungkanuparph
S, Thankitcharu S. Pneumocystis carinii
pneumonia in patients without HIV infection. J Med Assoc
Thai 2003;86: 612-6.
18. Monnet X, Vidal-Petiot E, Osman D, et al.
Critical care management and outcome of severe Pneumocystis pneumonia in
patients with and without HIV infection. Crit Care
2008;12:R28.
Refbacks
- There are currently no refbacks.
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 4.0 International License.